จะว่าไปการเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลของเขา แม้จะไม่ได้เริ่มจากลีกสมัครเล่นแบบที่ฟาน เดอ ฟาทพูด แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการอยู่กับทีมใหญ่ แต่เขาเริ่มที่ ลีก วัน กับทีมอย่างเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ดันแม็คไกวร์ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2011/2012 แม้ฤดูกาลนั้นทีมจะพลาดการเพลย์ออฟเลื่อชั้นไปอย่างน่าเสียดาย แต่เขาก็คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสรมาครอง
หลังรับใช้ดาบคู่อยู่ 3 ฤดูกาล ลงเล่นไป 134 นัดในลีกวัน ฟอร์มก็เข้าตาฮัลล์ซิตี้ที่ยื่นข้อเสนอของซื้อตัวด้วยเงิน 2.5 ล้านปอนด์ ซึ่งตอนนั้นฮัลล์เล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก ก่อนถูกปล่อยยืมไปวีแกนช่วงสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาต้นสังกัดและพบว่าทีมได้ตกชั้นลงมาเล่นในแชมป์เปี้ยนชิพเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับโอกาสเป็นตัวจริงในฤดูกาลถัดมา ก่อนเป็นกำลังหลักให้เจ้าเสือน้อยเลื่อนชั้นกลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งด้วยการเพลย์ออฟ
ฤดูกาล 2016/2017 นั่นคือซีซั่นแรกที่แม็กไกวร์ได้เปิดตัวในพรีเมียร์ลีก แม้ผลงานโดยรวมของทีมจะไม่ดีและต้องตกชั้นอีกครั้ง แต่แม็กไกวร์ก็ไม่ได้ตกชั้นไปกับทีมด้วย เมื่อเลสเตอร์ซิตี้ยื่นข้อเสนอ 12 ล้านปอนด์สู่ขอเขาไปร่วมทีมอย่างเป็นทางการ
แม็คไกวร์ใช้เวลาไม่นานในการยึดตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คตัวจริงในถิ่นคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม มาได้ และโชว์ฟอร์มแข็งแกร่งจนถึงขั้นแกเร็ธ เซาท์เกธ กุนซือทีมชาติอังกฤษต้องเรียกติดทีมไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ในฐานะกองหลังตัวหลัก ทั้งที่ยูโร 2016 เขายังเป็นแค่กองเชียร์ที่ไปเกาะขอบสนามดูทีมชาติตัวเองลงแข่งอยู่เลย และท้ายที่สุดเขาก็พาทีมสิงโตคำรามจบอันดับที่ 4 แบบหักปากกาเซียน
หลังจบทัวร์นาเมนท์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่กำลังมองหากองหลังมาเสริมทัพก็ล็อคเป้าแฮรี่ แม็คไกวร์ว่าคือกองหลังเบอร์ 1 ที่ต้องคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้ โดยยอมทุ่มเงินกว่า 80 ล้านปอนด์เป็นสถิติโลกในการปิดดีลกับจิ้งจอกสยามให้ยอมปล่อยตัวออกจากทีม โดยเจรจาสำเร็จก่อนจะเริ่มฤดูกาล 2019/2020
ในฤดูกาลแรกที่โรงละครแห่งความฝัน เขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็ยึดตำแหน่งตัวจริงมาได้แบบสบาย ๆ แถมยังโชว์ความเป็นผู้นำเข้าตาจนได้รับตำแหน่งกัปตันทีมจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อีกด้วย ซึ่งฤดูกาลนั้นพลพรรคปีศาจแดงจบอันดับ 3 อย่างสวยงาม
แต่ทว่าความผิดพลาดส่วนตัวยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ตลอด จนเกิดเป็นมีมและคลิปตลก ๆ เกิดขึ้นมากมายในโซเชียลมีเดีย ทั้งการประกับพวกเดียวกันเอง ดึงเสื้อเพื่อนร่วมทีม ล็อคหลบจนโดนฉกบอลไปยิง นานวันเข้าก็สะสมจนเป็นบ่อนทำลายจิตใจของตัวเองจนฟอร์มแกว่ง และถูกตั้งคำถามว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรพักแม็กไกวร์ไว้ข้างสนาม รวมถึงการมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้คนอื่นที่ดูจะฟอร์มคงเส้นคงวากว่า
แม้ในสโมสรจะโดนโจมตีอย่างหนัก แต่ในทีมชาติเขากลับพาขุนพลทรี ไลออนไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูโร 2020 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี แม้จะพ่ายจุดโทษแก่อิตาลีไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็เขาก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่ลงเล่นทุกนัดและโชว์ฟอร์มได้อย่างดีเยี่ยม
ถึงจะโดนวิจารณ์อย่างหนัก แต่ราฟ รังนิค กุนซือคนปัจจุบันก็ยังไว้ใจให้กัปตันทีมหมายเลข 5 ทำหน้าที่สวมปลอกแขน และลงเล่นเป็นตัวจริงต่อไป ถ้าวิเคราะห์กันอย่างไม่มีอคติแล้ว แม็คไกวร์คือกองหลังที่พร้อมที่สุดของยูไนเต็ด เพราะไบญี่ และราฟาเอล วาราน ก็โดนอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เรื่อย ๆ ส่วนวิคตอร์ ลินเดอเลิฟก็ดูร่างกายบอบบาง และมีความผิดพลาดให้เห็นอยู่เป็นประจำ
คิดไปคิดมาสุดท้ายยังไงแมนฯยูก็ยังต้องยึด แม็คไกวร์ เป็นกำลังหลักในแผงกองหลัง เพื่อที่จะช่วยให้ทีมลุ้นท็อฟโฟร์ไปเล่นถ้วยยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าให้ได้ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันว่าจะหาตัวแทน หรือใช้งานกองหลังค่าตัวสถิติโลกคนนี้ต่อไป และหวังว่าจะเรียกฟอร์มให้สมค่าตัวได้สักที
สนับสนุนโดย Line : @Gamemun