วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565
(2/พรีเมียร์ลีก) ลิเวอร์พูล-เรอัล มาดริด (1/ลา ลีกา)
สนาม : สต๊าด เดอ ฟรองซ์ (ปารีส,ฝรั่งเศส) เวลาคิกออฟ : 02.00 น.
ผู้ตัดสิน : เกลม็องต์ ตูร์แปง (ฝรั่งเศส)
ผลงานการพบกันล่าสุดในรายการนี้
14 เม.ย.21 ลิเวอร์พูล 0-0 เรอัล มาดริด ( รอบ 8 ทีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก )
6 เม.ย.21 เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล ( รอบ 8 ทีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก )
ลิเวอร์พูล
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
22 พ.ค.2565 ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 3-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
17 พ.ค.2565 ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
14 พ.ค.2565 เสมอ เชลซี 0-0 (กลาง) (ชนะจุดโทษ 6-5) เอฟเอ คัพ
10 พ.ค.2565 ชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
7 พ.ค.2565 เสมอ สเปอร์ส 1-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
สภาพทีมลิเวอร์พูล
ติอาโก้ อัลคานทาร่า ที่เจ็บจากชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดสุดท้าย ลุ้นฟิตกลับมาทันในเกมนี้ แต่เต็มที่อาจเป็นแค่สำรอง ส่วน โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่ลงมาเป็นสำรองในเกมเดียวกัน และล่าสุดยืนยันว่าจะอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า ฟิตพร้อมกลับมาเป็น 3 ประสานในแนวรุกร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ และ หลุยส์ ดิอาซ ด้าน โจ โกเมซ และ ฟาบินโญ่ กลับมาซ้อมได้แล้ว และน่าจะมีชื่อในเกมนี้ ในแนวรับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่เจ็บมาจากช่วงต่อเวลาพิเศษ เกมเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ กับเชลซี จะกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงคืนหลัง 2 เกมสุดท้ายของฤดูกาลไม่ได้สตาร์ต โดยจะยืนเซ็นเตอร์คู่กับ โฌเอล มาติป ที่มากประสบการณ์กว่า อิบราฮิม่า โกนาเต้
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์; เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌเอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน; จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า ; โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, หลุยส์ ดิอาซ
เรอัล มาดริด
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
20 พ.ค.2565 เสมอ เรอัล เบติส 0-0 (เหย้า) ลา ลีกา
15 พ.ค.2565 เสมอ กาดิซ 1-1 (เยือน) ลา ลีกา
12 พ.ค.2565 ชนะ เลบานเต้ 6-0 (เหย้า) ลา ลีกา
8 พ.ค.2565 แพ้ แอตเลติโก้ มาดริด 0-1 (เยือน) ลา ลีกา
4 พ.ค.2565 ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-1 (เหย้า) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
สภาพทีมเรอัล มาดริด
คาร์โล อันเชล็อตติ พา เรอัล มาดริด เป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 35 ของสโมสรในฤดูกาลนี้ พร้อมกับเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ได้ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป โดยกุนซือชาวอิตาเลี่ยน พาทีมเดินทางมาถึงฝรั่งเศส ล่วงหน้าก่อน 48 ชั่วโมง เพื่อปรับสภาพรวมไปถึงนัดนี้จะกลับมาใช้ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุด ดาวิด อลาบา ดาวเตะทีมชาติออสเตรีย ที่เจ็บจากเกมนัดแรกที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศนัดแรก หายเจ็บกลับมาเป็นตัวเลือกในแแผงแบ็กโฟร์ แดนกลาง โทนี่ โครส, คาร์ลอส กาเซมีโร่ และ ลูก้า โมดริช จะคอยปรับสมดุลย์ ส่วน คาริม เบนเซม่า จอมเก๋าทีมชาติฝรั่งเศส จะเป็นทีเด็ดเหมือนในรอบที่ผ่านๆ มา ส่วน แกเร็ธ เบล ที่ทำ 2 ประตูให้ทีมแซงชนะ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์รายการนี้เมื่อปี 2018 น่าจะถูกเรียกกลับมามีชื่อสำรอง เช่นเดียวกับ โรดรีโก้ และ อเซนซิโก้ ที่พร้อมลงไปเปลี่ยนเกมในแนวรุก
ผู้เล่น 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนาม
เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์; ดานี่ การ์บาฆาล, เอแดร์ มิลิเตา, ดาวิด อลาบา, แฟร์กล็องด์ เมนดี้ ; โทนี่ โครส, คาร์ลอส กาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช ; เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้, คาริม เบนเซม่า, วินิซิอุส จูเนียร์
เกร็ดก่อนเกม
-พบกันมาแล้ว 8 ครั้ง ลิเวอร์พูล ชนะ 3 เรอัล มาดริด ชนะ 4 และจบด้วยผลเสมอ 1 ครั้ง
-เป็นการรีแมตช์ นัดชิงชนะเลิศ ปี 2018 ซึ่งครั้งนั้น เรอัล มาดริด ชนะไป 3-1
-ลิเวอร์พูล แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 สมัย
-เรอัล มาดริด ชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 13 สมัย (มากที่สุด)
-โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ยิงให้ลิเวอร์พูล ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ไปแล้ว 8 ประตู ขณะที่ คาริม เบนเซม่า ยิงให้ เรอัล มาดริด ไป 15 ประตู
-เรอัล มาดริด ผ่านเข้าชิงรายการถ้วยใหญ่ยุโรป เป็นครั้งที่ 17 โดย 7 ครั้งหลังสุดที่เข้าชิงรายการนี้นั้นได้แชมป์ไปทั้งหมด
-เจอร์เก้น คล็อปป์ดวลกับมาดริดทั้งหมด 9 ครั้ง ชนะ 3 ครั้ง เสมอ 2 ครั้ง แพ้ 4 ครั้ง
-เจอร์เก้น คล็อปป์ พาทีมเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ถือเป็นครั้งที่ 4 โดยแบ่งเป็นกับดอร์ทมุนด์ 1 ครั้งในปี 2013 และลิเวอร์พูล 3 ครั้ง ปี 2018,2019,2022
-สถิติอันเชล็อตติเจอกับคล็อปป์ ดวลกันทั้งหมด 10 ครั้ง ชนะ 4 ครั้ง เสมอ 3 ครั้ง แพ้ 3 ครั้ง
– คาร์โล อันเชลอตติ พาทีมเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 5 ครั้ง นับสมัยคุมเอซี มิลานพาทีมเข้าชิงในปี 2003, 2005, 2007 และพามาดริดเข้าชิง 2014, 2022 ถือเป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเข้าถึงรอบนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
สนับสนุนโดย Line : @Gamemun